สำหรับพระหัตถ์ 1,000 พระหัตถ์นั้น บางพระหัตถ์ทรงถือศาสตราวุธ บางพระหัตถ์ทรงถือคัมภีร์ บางพระหัตถ์ทรงถือลูกประคำ
พระหัตถ์ทรงถือดอกบัว บางพระหัตถ์ทรง
ถือแก้วจินดามณี บางพระหัตถ์ทรงถือพลองทองประดับหยก บางพระหัตถ์ทรงถือคนโทน้ำทิพย์ บางพระหัตถ์ทรงถือกิ่งหลิว บางพระหัตถ์ทรงประทานพร ล้วนแล้วแต่มีความหมายทั้งสิ้น
ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะบางส่วนที่สำคัญคือ
พระหัตถ์บนสุดทรงถือสุริยัน-จันทรา มีความหมายแทนปัญญา ให้รู้เท่าทันอารมณ์ที่มีกุศล-อกุศล รู้เท่าทันความพอใจ-ไม่พอใจ รู้เท่าทันสุข-ทุกข์ เห็นแจ้งถึงเหตุปัจจัยในธรรมชาติของโลก ซึ่งประกอบด้วยของคู่กัน เช่น มีสว่างก็มีมืด มีดีก็มีชั่ว มีรวยก็มีจน มีหญิงก็มีชาย มีได้ก็มีเสีย ฯลฯ
พระหัตถ์ระหว่างกลางพระวรกายทรงประณมกร มีความหมาย คือ ผู้ที่รู้แท้จริงย่อมมีสัมมาคารวะอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพพุทธะและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพสัจธรรม เคารพผู้อาวุโส เคารพฟ้าดิน เคารพความจริงในความดี เคารพสิทธิเสรีภาพของปวงสรรพสัตว์ และเคารพในสิ่งชอบธรรม เพื่อขอขมาในสิ่งต่างๆ ที่เคยล่วงเกินต่อกันด้วยกาย วาจาใจ เป็นการขออโหสิกรรมหมดสิ้นเวรภัย
พระหัตถ์ถัดลงมาทรงโอบอุ้มโลก มีความหมายคือ ผู้รู้ย่อมมีความเมตตากรุณาโดยอุ้มชูสรรพสัตว์ช่วยให้พ้นทุกข์ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยจิตเมตตากรุณา และมีอภัยทาน สังคมใดมีความเมตตากรุณาย่อมมีแต่ความสงบสุขและร่มเย็น
พระหัตถ์ถัดลงมาพระหัตถ์ขวาทรงถือลูกประคำและพระหัตถ์ซ้ายทรงถือเชือก มีความหมายว่า ผู้รู้ย่อมไม่ประมาท ต้องฝึกตนเองอยู่เสมอ ยืดมั่นในศีลธรรมและเจริญสมาธิเพื่อให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันตัณหา รู้เท่าทันความคิดกุศล-อกุศล รู้เท่าทันอารมณ์พอใจไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา อันเป็นการพัฒนาตนเองทุกขณะจิต
พระหัตถ์ทรงถือคันศรและลูกศร มีความหมายคือ ให้มีชีวิตอยู่อย่างมีเป้าหมายปลายทาง มีความแน่วแน่ที่จะข้ามให้พ้นวัฎสงสารแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในทะเลทุกข์
พระหัตถ์ทรงถือคัมภีร์และสมุด มีความหมายว่า ให้ทบทวนศึกษาพระธรรมอยู่เสมอเพราะความจำความรู้ก็เป็น อนิจัง เรียนมาแล้วก็ลืมได้ จึงเพียรพยายามศึกษาทบทวนเสมอ